ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน

YALA

 ประกาศหาคู่ผ่านอินเตอร์เน็ต GhostJoke Discovery Thailand
Discovery Thailand 5

SaKai

ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด
ในสังคมชาวซาไก ผู้มีบทบาทในการประคับประคองช่วยเหลือผู้เป็นมารดาและทารกคือ หมอตำแย หรือพวกที่เขาเรียกกันว่า โต๊ะดันหรือโต๊ะบิดัน แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ สรุปได้ดังนี้
1 การรักษาพยาบาลแม่
ในสังคมซาไก แม่ผู้ที่จะกำเหนิดทารกนั้นมีความสำคัญมาก เพื่อช่วยชีวิตแม่ไม่ให้ได้รับความเจ็บปวดในขณะคลอด พวกเขาได้คิดค้นเครื่องยาและเวทย์มนต์คาถาเพื่อช่วยชีวิตของผู้เป็นแม่อย่างสุดความสามารถ ในระยะที่แม่เจ็บท้องใกล้จะคลอดนั้น โต๊ะดันผู้ทำหน้าที่เป็นหมอตำแย จะนำยาชนิดหนึ่งมาทาบริเวณหน้าท้องมีการนวดท้องเพื่อช่วยให้คลอดง่าย เขามีความเชื่อในยาของเขามากว่าใช้ได้ผล ซึ่งก็ใช้เวลารอไม่นานนัก ขณะที่รอเด็กคลอดออกมา โต๊ะดันจะว่าคาถาเสกคาถาลงไปหน้าท้องของผู้เป็นแม่ ด้วยความเชื่อในเรื่องยาและเวทย์มนต์คาถานี่เอง ทำให้ผู้เป็นแม่มีความรู้สึกว่าไม่เจ็บปวดมากในระหว่างที่คลอด บทคาถาที่ใช้สำหรับคลอดบุตรที่ว่าโดยโต๊ะดันว่าดังนี้
"ตุ้งตุงฮู ลีโตลีบีโฮ ตามาซาไกนิฮิฮุด มาตีซิฆู"

2 การพยาบาลทารก
เมื่อผู้เป็นแม่คลอดทารกแล้ว โต๊ะดันจะเตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบทารก ในน้ำอุ่นจะผสมยากับใบเตยลงไปเพื่อให้มีกลิ่นหอม จากนั้นก็อุ้มเด็กลงอาบน้ำให้สะอาด เสร็จแล้วก็อุ้มเด็กขึ้นจากอ่างน้ำ ห่อเด็กด้วยผ้าและวางลงบนแคร่ ถ้าเด็กชัก โต๊ะดันจะใช้หัวไพลไปปิดหูของแม่ เชื่อว่าอาการชักของเด็กจะหายไป
3 การตัดสายสะดือ
เครื่องมือที่ใช้ในการตัดสายสะดือทำด้วยไม้ไผ่บาง ๆ การตัด ตัดให้สายสะดือเหลือยาวเลยขาของเด็กเล็กน้อย วิธีการนี้เหมือนกับวิธีการของชาวบ้านไทยมุสลิมทั่วไป
4 การเลี้ยงทารก
ในกรณีที่แม่อยู่เลี้ยงก็จะเลี้ยงด้วยนมแม่ แต่ถ้าหากแม่ไปทำงาน โต๊ะดันก็เลี้ยงเด็กด้วยผลไม้ เช่น กล้วยหรือเผือกมัน และด้วยเหตุที่โต๊ะดันมีหน้าที่เลี้ยงเด็ก ทำให้โต๊ะดันเป็นที่รักของเด็ก ๆ ทุกคน การเกิดของเด็กในสังคมซาไกนั้นถือปฏิบัติเหมือนกันทุกคน คือ ให้โต๊ะดันทำหน้าที่ในการคลอด เพราะเขาเชื่อว่าโต๊ะดันเป็นผู้ชำนาญในการคลอด การใช้ยา และมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ ซึ่งเป็นที่อบอุ่นใจว่าชีวิตของแม่และเด็กจะต้องปลอดภัย
ประเพณีการตาย
ในสังคมซาไกเมื่อมีการตายเกิดขึ้น เขาจะมีความรู้สึกว่าเป็นการสูญเสียญาติของเขาไปคนหนึ่ง เพราะเขาอยู่กันน้อย คนและใกล้ชิดกันมาก ลักษณะประเพณีการตายของซาไก สรุปได้ ดังนี้
1 ลักษณะของหลุมฝังศพ กว้างประมาณ 2 ศอก ลึกประมาณ 3 ศอก ยาวประมาณ 3 ศอก คนขุดหลุมจะต้องเป็นญาติพี่น้องของผู้ตาย จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้
2 ที่ตั้งของหลุม อยู่บนเนินใกล้ ๆ ลำธารห่างจากที่พักประมาณ 100 เมตร
3 การตกแต่งหลุม หลังจากขุดหลุมเรียบร้อยแล้ว เขาจะตัดไม้ไผ่รองพื้นด้านล่าง การวางลำดับไม้จะวางให้สวยงามเรียบร้อย การวางไม้ชั้นแรกจะวางหัวไม้ไปทางทิศตะวันตกและวางเป็นแนวเรียงขนานกันไป ในชั้นที่ 2 จะเอาไม้มาเรียงตามขวางกับแนวแรก เมื่อตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นหมอก็จะนำเอาหัวไพลขนาดเท่านิ้วก้อยมาปลุกเสก ส่งให้ญาติของศพเคี้ยวจนละเอียดแล้วพ่นลงในหลุม เชื่อว่าผีผู้ตายจะไม่ขึ้นไปเที่ยวหลอกหลอน
4 การยกศพลงหลุม ผู้เป็นญาติของผู้ตายจะยกศพลงหลุมหลังจากที่เสกหัวไพลเรียบร้อยแล้ว การวางศพให้หันหัวไปทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศใต้ ศพจะนอนในลักษณะงอคู้ เมื่อวางศพเสร็จแล้วจะเอาไม้ไผ่ผ่าซีกมาวางบนศพอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ปลายปักลงดินด้านหนึ่งและพาดปากหลุมอีกด้านหนึ่ง ไม้ที่ใช้จะตัดจากบริเวณใกล้ ๆ กับหลุมฝังศพ
5 การห่อศพ การห่อศพจะใช้ผ้าของผู้ตายทั้งหมดที่มีอยู่ห่อหุ้มให้มิดชิดโดยพับเข่าให้คู้เข้ามาแล้ววางไว้บนแคร่ของผู้ตาย ยกแคร่ไปที่หลุมฝังศพด้วย และเมื่อเอาศพลงหลุมแล้ว แคร่นั้นก็จะตัดออกให้พอดีกับหลุมวางพาดบน ปากหลุมให้เรียบร้อย และปูใบไม้ในแนวขวางกับแคร่
6 การปิดปากหลุม เมื่อปูใบไม้ตลอดหลุมแล้วก็ใช้ดินกลบ จากนั้นพวกญาติของผู้ตายจะขึ้นไปย่ำดินบนปากหลุมให้แน่น และรอบ ๆ ปากหลุมเขาจะสร้างเพิงหมาแหงนเอาไว้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าได้สร้างบ้านให้ศพ ศพจะไม่เดือดร้อยเพราะมีบ้านอยู่แล้ว พอตกกลางคืนพ่อแม่จะต้องไปก่อไฟไว้บนหลุมฝังศพ ซึ่งถือว่าเป็นการให้ความอบอุ่นแก่ศพ
7 พิธีการสวดศพ หลังจากกลบหลุมศพเรียบร้อยแล้ว ญาติของผู้ตายพร้อมด้วยเพื่อนบ้านจะยกขบวนกลับทับ และทำพิธีสวดที่ทับของผู้ตาย เครื่องใช้ในพิธีสวดประกอบด้วยเหล้า ธูป เทียน ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ผู้กระทำพิธีสวดต้องเป็นหมอผีเท่านั้น เมื่อเสร็จพิธีสวดก็มีการกินเลี้ยงที่ทับของผู้ตาย
ลักษณะครอบครัว
ซาไกครอบครัวหนึ่งๆ จะมีพ่อ แม่ ลูก เท่าที่เห็นไม่มี ปู่ ย่า ตา ยาย อยู่เลย เพราะพวกนี้อายุสั้น มักจะตายเสียก่อนยังไม่ทันแก่เฒ่า เมื่อลูกโตแต่งงานแล้วก็จะแยกครอบครัวไปตั้งครอบครัวใหม่ และจะเป็นดังนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน ลักษณะครอบครัวจึงเป็นครอบครัวแบบจุดเริ่มต้น ไม่ใช่ครอบครัวแบบขยาย ด้วยเหตุนี้ครอบครัวซาไกจึงไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับปู่ย่าตายาย สังเกตได้จากไม่มีคำเรียกเครือญาติที่สูงไปกว่าพ่อแม่ เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่าลักษณะผัวเมียซาไกเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่มีผู้ชายคนใดมีเมียหลายคน ถ้าจะมีเมียใหม่อีกก็ต่อเมื่อเมียเดิมของเขาตายไป และพวกนี้จะไม่มีการผิดลูกเมียของคนอื่น เพราะเขาเชื่อว่าวิญญาณของสัตว์ร้ายจะเข้าสิงในคนที่ผิดลูกเมียของคนอื่น ซึ่งทำให้เป็นบ้า ทำกิริยาท่าทางเหมือนสัตว์ แล้วจะวิ่งเข้าป่าไปในที่สุด
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
1 ด้านการปกครอง ระบบสามีภรรยาในสังคมซาไกมีลักษณะความเป็นอยู่และการประพฤติปฏิบัติเช่นเดียวกับชาวไทยสมัยก่อน คือ สามีเป็นผู้นำและภรรยาเป็นฝ่ายตาม แต่ว่าเป็นไปในทางให้เกียรติและถนอมน้ำใจกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสามี ภรรยาในสังคมซาไกจึงราบรื่นทำให้เป็นสุข เพราะสามีไม่คิดนอกใจภรรยาและภรรยาไม่คิดนอกใจสามี และด้วยความจริงใจต่อกันนี้จึงทำให้คู่สามีภรรยาเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียวดังได้กล่าวมาแล้ว
2 การทำงาน สามีภรรยามีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันมีความเชื่อมั่นในผลงานว่า ไม่ว่าสามีภรรยาจะทำงานสิ่งใดก็ตามย่อมสำเร็จตามความมุ่งหมาย เช่น ภรรยาไว้เนื้อเชื่อใจในการหาและทำที่อยู่อาศัยของสามี การทำที่อยู่อาศัยจึงเป็นหน้าที่ของสามี ส่วนการดูแลบ้านและเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของภรรยา
3 ความสัมพันธ์ทางเพศ เป็นลักษณะที่เด่นและแปลก คือบทรักหรือการร่วมประเวณีกันของคู่สามีภรรยาเขาจะไม่ทำกันในทับ แต่จะกันไปขุดมันในป่า และไม่จำกัดเวลาว่าจะเป็นเวลากลางคืนหรือกลางวัน เกิดขึ้นได้ทุกเวลาตามความพอใจของพวกเขา
ลักษณะทางเศรษฐกิจ
ชาวซาไกไม่รู้จักการเก็บสะสม ไม่รู้จักจำนวนมากน้อย เขาขอแต่เพียงว่าให้พอมีกินเท่านั้น เพราะฉะนั้นสภาพเศรษฐกิจในหมู่บ้านและครอบครัวของเขาอยู่ในลักษณะฝืดเคืองตลอดเวลา พวกซาไกจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมชาวเมืองมาก เมื่อเวลาว่าจ้างไปทำสวนจะจ่ายค่าแรงแต่เพียง เล็กน้อยเท่านั้น เป็นเงินสัก 5 บาท 10 บาท หรือปลาเค็มสัก 4 - 5 ตัว หรือไท่ก็เป็นเหล้าสักขวดเขาก็พอใจแล้ว ปัจจุบันซาไกชอบเงินและรู้จักใช้เงินแล้ว แต่ไม่ค่อยจะรู้ว่าค่าของเงินนั้นจำนวนเท่าใด เมื่อสามีได้ค่าจ้างมาก็ให้ภรรยาเก็บไว้ซื้อเกลือ ปลาเค็มมาเป็นอาหาร พวกนี้ถ้าได้เงินมากก็จะใช้จ่ายมากและสุรุ่ยสุร่าย ไม่เคยนึกถึงเวลาอดอยากหรือเวลาไม่มีเงินซื้อยาเวลาเจ็บป่วย พวกซาไกไม่รู้จักการเพาะปลูก ถ้าเขารู้จักการเพาะปลูกคงช่วยให้เศรษฐกิจของเขาดีขึ้นและสามารถทำเป็นล่ำเป็นสันได้เพราะมีที่ดินว่างเปล่าอยู่มากและรัฐบาลก็ช่วยเหลือส่งเสริมอยู่
ลักษณะการปกครอง
เนื่องจากสังคมซาไกเป็นสังคมเล็กๆ เขามีผู้ใหญ่บ้านปกครองเพียงคนเดียว ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านต้องมีอายุมากที่สุดและเป็นคนที่เขาเลือกตั้งขึ้นมา สภาพการปกครองของซาไกนี้เมื่อพิจารณาแล้วเหมือนกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง เพราะมีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ถ้าลูกบ้านคนใดทำผิด ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่เรียกมาตักเตือน ไต่สวน เมื่อผิดจริงก็สามารถลงโทษได้ ส่วนหน้าที่การงานนั้นผู้ใหญ่บ้านก็จะเป็นคนจัดแบ่งให้เมื่อมีคนมาจ้างวาน เมื่อมีงานในกลุ่มพวกเขาทุกคนจะช่วยทำกันโดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธานจะเกี่ยงงอนกันไม่ได้ แต่ถ้างานชิ้นใดหนัก ผู้ใหญ่บ้านก็จะเป็นผู้รับทำเอง ฉะนั้นหัวหน้าผู้ปกครองของซาไกจะต้องเป็นผู้ที่ซาไกทั้งหลายนับถือเชื่อฟังมากที่สุด หน้าที่ของผู้ปกครองที่มีต่อลูกบ้านมีดังนี้
1 เป็นประธานในการแต่งงาน
2 เป็นผู้ไต่สวนคดี
3 เป็นหัวหน้าในการย้ายที่อยู่ ในการย้ายที่อยู่นี้สังเกตเห็นว่าผู้เป็นหัวหน้าจะรับหน้าที่ในการแบกหามหนักกว่าคนอื่นๆ
การอบรมศึกษา
ในปัจจุบันเด็กซาไกกลุ่มอำเถอธารโตได้รับการศึกษาจากโรงเรียนอาสาพัฒนาวิทยาลัยครูยะลา 1 ซึ่งนักศึกษาวิทยาลัยครูยะลาได้ไปสร้างให้เมื่อปิดภาคฤดูร้อน พ.ศ. 2517 โรงเรียนนี้ทำการสอนโดยครูตำรวจตระเวนชายแดน ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านซาไก ห่างจากถนนใหญ่ 4 กิโลเมตร จากการดูสถิติการเรียนของนักเรียนแล้ว ผู้ศึกษาพบว่าเด็กซาไกมีสมองดีทีเดียว คนที่เรียนเก่งที่สุดของเขาสอบได้เป็นที่ 2 ของโรงเรียน ซึ่งมีเด็กนักเรียนไทยพุทธและไทยมุสลิมจากที่ใกล้ๆมาเรียนด้วย ส่วนเด็กซาไกที่เรียนตกเป็นอันดับสุดท้ายก็ไม่ใช่เป็นที่สุดท้ายของโรงเรียน สมองของพวกเขาจึงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะด้านความจำแม่นยำมาก ส่วนการศึกษาเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นจะมีการศึกษาอยู่ 2 แบบ คือ แบบมุขปาฐะ ได้แก่แบบที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมา และอีกแบบหนึ่ง ได้แก่แบบที่บอกเล่าประสมประสานกับการปฏิบัติ เช่น วิธีการทำไม้ซาง ทำลูกดอก เป็นต้น ซึ่งสรุปแล้วก็เป็นการศึกษาโดยไม่ได้ตั้งใจเสียมากกว่า แต่เป็นการศึกษาที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
ภาษาซาไก
ต้นตระกูลภาษาซาไก
พระยาอนุมานราชธน สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และจอห์น เอช แบรนด์ ได้มีความเห็นตรงกันว่า ภาษาซาไกมีต้นตระกูลมาจากภาษามอญ-เขมร ซึ่งบางทีเรียกว่าตระกูลออสโตร-เอเชียติค ซึ่งเป็นภาษาชนิดคำโดด บางคำเป็นคำติดต่ออยู่บ้างแต่ไม่มาก
ลักษณะของคำที่ใช้
คำที่ซาไกใช้อยู่พบว่าบางคำเป็นที่ยืมไปจากภาษามลายู โดยนำไปดัดแปลงเสียง รูปคำ และความหมายเสียบ้าง คงไว้บ้าง เห็นได้ชัดดังต่อไปนี้
(คำ) (ซาไก) (มลายู)
ลิง กรา กราหรือกือรา หรือกือฮอ
ต้นไทร เซรายา เซรายอ (เป็นไม้สยา คำนี้เปลี่ยนแปลงความหมาย)
เสือ ตาโก๊ะ ตาโก๊ะ (ในภาษามลายูแปลว่ากลัว)
ลูกดอก บิลา บิเลาะห์ คือไม้ไผ่เป็นซีกเล็ก ๆ
พระจันทร์ ปะยง ปะยง (ในภาษามลายูแปลว่าร่มถือ)
ยางน่อง อิโป๊ะ อิโป๊ะ หรือ อีโปร์
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ภาษาอื่นเข้าไปมีอิทธิพลต่อภาษาซาไกนั้นเป็นเพราะ
1 จำนวนคำในภาษาซาไกแท้จริงนั้นมีน้อย คำที่เกิดขึ้นมีเท่าที่จำเป็น และต้องการใช้สื่อความหมายเท่านั้น
2 ชาวซาไกได้อยู่คลุกคลีกับกลุ่มชนที่พูดภาษามลายู จึงรับเอาภาษามลายูไปใช้ ขณะเดียวกันเมื่อซาไกคลุกคลีกับคนไไทยก็รับเอาภาษาไทยไปใช้ แต่ลักษณะการรับคำของซาไกจะรับเอาเฉพาะคำที่เป็นประโยชน์ต่อเขาเท่านั้น
ลักษณะของภาษาซาไกโดยทั่วไป
ผู้ศึกษาได้สัมภาษณ์ชาวซาไกหลายคน สังเกตเห็นคำในภาษาซาไกมีลักษณะของคำดังนี้
1 คำที่พูดโดยมากจะออกเสียงเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
กิน จิ๊ (เป็นเสียงร้องของนกเล็ก ๆ)
แมว เมียว
หมา เอง
นก กาเหว่า
คำที่ออกเสียงที่เลียนเสียงธรรมชาติเหล่านี้ สันนิษฐานว่าคงเลียนมาจากเสียงร้องของสัตว์
2 ลักษณะของเสียงที่ปรากฎในภาษาพูดมักจะเป็นเสียงระเบิดออกจากลำคอ เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
งู อิก๊อบ
พี่ อู๊
พ่อ เอย์
สวย เบิ๊ดเอ้ต
ไม่สวย บิคลอค
3 คำที่พูดจะมีทั้งคำพยางค์เดียวและหลายพยางค์ เช่น
ก. คำพยางค์เดียว เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
มาก บะ
กลับ ยิ
ไป ยะ
หน้าอก ยก
ท้อง เจิง
ข. คำหลายพยางค์ เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
เจ็บ ปาเยส
หัวเข่า กัลตง
เอว ปีงัง
เที่ยว มาจิ๊
บุหรี่ ซือฆือริ
คู่รัก ตะอิอึ้นน์
แสงแดด เมดกือเตาะ

4 ลักษณะพิเศษของเสียงท้ายพยางค์จะมีเสียง ij, Nn; Y และ H อยู่ท้ายพยางค์ เช่น
ก. เสียง ij ท้ายพยางค์
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
บ้าน ติตึ๊ง
มือ บาลึ้ง
ท้อง เจิง
นอน แองง์
มีด อูเงง์
ข. เสียง Nn ท้ายพยางค์
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
หญิงสาว เต้าอึ้นน์
คู่รัก ตะอิอึ้นน์
แต่งงาน ยิอั๊นน์
ค. เสียง Y ท้ายพยางค์
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
พ่อ เอย์
หวาย หะเวย์
ค่าง ไอย์
ตลาด กไดย์
ง. เสียง H ท้ายพยางค์
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
เดิน ญะฮ์
ต้นไม้ เอฮ์
มา เดาฮ์
จ. เสียง S ท้ายพยางค์
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
ข้าวสาร เปอรัส
เล็บ กัลเกาะจัส
ฉ. เสียง Ch ท้ายพยางค์
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
อร่อย ฮังวิช
5. ลักษณะของคำที่มีเสียงขึ้นนาสิก เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
สายนุ่งรอบเอวหญิง ฮอลี
นกขนาดเล็กสีขาวหางยาว ตอเตียล
ชาย เญล
เรือนผีทำด้วยไม่ไผ่ นะฮานี
คอ อางุด
มือ บาลิง
หก (การนับ) นัม
6. ลักษณะคำไม่มีเสียงควบกล้ำ เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
ผู้หญิง กอดา
ต้นสะตอ กอตัน
นกขนาดใหญ่ กาก
ปลวก จะเวา
ผีพราย เซมังงัด
7. มีการใช้คำวิเศษณ์ ซึ่งแสดงว่าภาษาซาไกมีการเปรียบเทียบขั้นกว่าขั้นสูงสุด เช่น
(คำ) (การออกเสียงในภาษาซาไก)
ใหญ่ ตะเบอะ
ใหญ่กว่า ตะเบอบะ
ใหญ่ที่สุด ตะเบอะฮะลุ
คำวิเศษณ์ที่นิยมใช้กันทั่วไปในสังคมซาไก เช่น
สวย เบิ๊ตเอ้ต
หล่อ เมอเอลิก
คนอ้วน เบอเจาะ
ซาไกหรือเงาะในภาคใต้ของประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นประชากรส่วนหนึ่งของประเทศ แต่พวกเขายังไม่มีทะเบียน สัมมะโนครัว ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนจนทุกวันนี้ (พ.ศ. 2528) พวกเขาอยู่อย่างสงบเงียบ ปักหลักชื่นชมแต่ธรรมชาติ ไม่มีพิษภัยใด ๆ และอยู่อย่างไม่มีผลใดในทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติ ทางราชการจึงเอาใจใส่น้อย ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ตามยถากรรม (สภ.อ., พบ.ด., กด.ก.)
Design by Narong Rattanaya
If you want more information
Please contact Webmaster